แม่น้ำโบราณ : โดยเรวัตร์ พันธุ์พิพัฒน์ ผลงานประเด็นสิ่งแวดล้อมในชุมชน

, 23 กรกฎาคม 61 / อ่าน : 2,093

 

หากพญานาคสะท้อนความในใจออกมาได้?

จะเป็นอย่างไร

จากเรวัตร์ พันธุ์พิพัฒน์ เรื่อง "แม่น้ำโบราณ"





กูอยู่ที่นี่ ในหัวใจโบราณ มนุษย์เอย
กูดำรงอยู่ตั้งแต่ครั้งแรกเริ่มกำเนิดโลกใบนี้ ก่อนศาสนาทั้งหลายทั้งปวง ก่อนอารยธรรมทั้งหลายทั้งปวง
กูเฝ้าดูพวกมึงอยู่ตลอดเวลา เหล่ามนุษย์หลากสีผิว เหลือง ขาว ดำ เหล่ามนุษย์ผู้ถูกสาปให้เกิดขึ้นมาเพื่อค้นหาหัวใจของตนเอง น่าประหลาดไหม? ค้นหาหัวใจของตนเอง
ลำตัวและเกล็ดของกูสะท้อนแสงตะวันเป็นสีทอง กูเฝ้ามองดูพวกมึงดำรงชีวิตอยู่บนชายฝั่ง เคลื่อนไหวอยู่ในลำน้ำ แต่พวกมึงไม่เคยได้ยินเสียงลมหายใจของกูเลยสักคน ลมหายใจที่พร่ำเพรียกอยู่รายรอบกายของพวกมึง
พรายฟองสีทองของความหลับฝัน
ท่ามกลางความสงบสงัดลึกล้ำของโลกดึกดำบรรพ์
ขณะพวกมึงพากันลงข่าย วางเบ็ดราว ดักลอบ หรือเก็บผักหญ้า
หากว่าพวกมึงสงบนิ่งเพียงพอ พวกมึงก็จะเป็นหนึ่งเดียวกับกู ด้วยดวงจิตที่สันโดษสมถะเท่านั้น พวกมึงจึงจะสามารถมองเห็นกู

พวกมึงเคยมองเห็นกระต่ายในดวงจันทร์กันบ้างไหม?
อย่าตื่นตูมกันไปนักเลย
ศาสดาของพวกมึงไม่เคยกล่าวไว้หรอกหรือ ว่าอะไร-อะไรในโลกนี้ล้วนไม่จีรังยั่งยืน แม้กระทั่งโลกเอง หรือตัวของศาสดาเอง
อย่าตื่นตูมกันไปนักเลย แต่จึงตื่นขึ้นเถิด ตื่นขึ้นแล้วกวาดสายตาไปรอบๆตัว มองออกไปข้างนอก มองเข้าไปข้างใน
หากว่าพวกมึงยังปรารถนาค้นพบหัวใจ
ดวงจันทร์ช่างงดงาม
และจะงดงามยิ่งหากว่ามีหญิงสาวสักคนหนึ่ง หญิงสาวผู้ยืนอยู่ที่บานหน้าต่างของค่ำคืน ท่ามกลางกลิ่นดอกไม้ในลมรำเพย
หญิงสาวในบ้านไม้เก่าแก่ ในฤดูกาลแห่งพรรษา เธอเฝ้าเว้าวอนจันทร์ ขอเพียงอย่าให้สายฝนทิ้งช่วงเลย จันทร์เจ้าขา
ต้นข้าวในผืนนากำลังเติบโตแตกกอ
ขออย่าให้เธอต้องจำพรากจากบ้านเกิดและผู้เฒ่าผู้แก่เลย พรากจากไปสู่เมืองใหญ่และนิคมแห่งอุตสาหกรรม
ขอให้เธอได้จมอยู่ในปลักตมแห่งนี้ต่อไปเถิด
ขอให้สองแขนได้โอบกอดโค้งรวงสีทองสุกปลั่ง
และให้เธอได้ขับขานบทกลอนรับขวัญแม่โพสพ ดุจเดียวกับหัวใจเก่าแก่ของปู่ย่าตาทวดในครั้งกระโน้น
ว่าไหม ความใฝ่ฝันนั้นงดงามปานดวงจันทร์
และมีคุณค่าเสมอสายฝน

กูพร้อมอยู่เสมอที่จะพร่างพรูเป็นน้ำฝน
ขณะความใฝ่ฝันขึ้นไปท่องเที่ยวอยู่ในฟากฟ้า
เหมือนเด็กน้อยที่แอบหนีแม่ไปเที่ยวงานสวนสนุก
ตื่นตาตื่นใจอยู่บนชิงช้าสวรรค์ ได้ควบขี่ม้าหมุน รอบแล้วรอบเล่า เสียงหัวเราะก็คือเสียงฟ้าร้อง 
ก่อนที่กูจะตกลงมา
กลับคืนสู่เรือนเหย้าด้วยใจอาลัยอาวรณ์
พวกมึงเคยแหงนเงยเฝ้ามองเมฆบ้างไหม? มวลเมฆที่เคลื่อนขบวนผ่านหัวของพวกมึงไปวันแล้ววันเล่า คืนแล้วคืนเล่า มวลเมฆซึ่งเป็นมวลความฝันของกู เป็นกลุ่ม เป็นเกลียว เป็นกลีบ หรือเป็นเกล็ด
ความฝันอันประกอบด้วยแสงแดด ฤดูกาล ความมืด ความแปรปรวน ความไหลเนื่อง และความไม่สิ้นสุด
เหล่ามนุษย์ผู้เคลื่อนไหวอยู่สองฟากฝั่ง ฟากฝั่งของสายน้ำไม่หวนคืน
เฉกเช่นบางศาสดาของพวกมึง
บางศาสดาผู้ค้นพบหัวใจของตนเอง ขณะนั่งเฝ้าเพ่งพิศชีวิตด้านในอยู่ที่ริมฝั่งสงบสงัดที่ไหนสักแห่ง
เฉกเช่นพวกมึงบางคนได้แก้ปลาตัวสุดท้ายออกจากตาข่าย แล้วร้องบอกกับตัวเองว่าพอแล้ว ควรเก็บตาข่ายขึ้นจากลำน้ำได้แล้ว วันนี้พอเพียงแล้ว
และในโมงยามขณะนั้น กูได้มองเห็นนกแสงตะวันตัวหนึ่งบินมาจับที่บ่าไหล่ของชาวประมงผู้นั้น พลางก็ร้องเพลงด้วยน้ำเสียงที่เปล่งกังวานราวระฆังแก้ว
และกูไม่อยากจากไป

กูจะไม่จากไปไหน หากว่าพวกมึงทุกคนพากันค้นพบหัวใจของตนเอง
เหล่ามนุษย์ผู้ต้องคำสาปเอย
หนทางนั้นๆเฝ้ารอพวกมึงอยู่
เช่นเดียวกับกู –สัตว์ดึกดำบรรพ์ที่พวกมึงปรารถนาอย่างท่วมท้นที่จะได้พบเห็นสักครั้งในชีวิต
เหล่ามนุษย์หน้าโง่
ยิ่งใกล้-ยิ่งห่างไกล
ราวกับว่าผัสสะของพวกมึงได้ปลาสนาการไปสิ้นแล้ว
ทั้งๆที่พรายฟองละอองทองร่ายรำอยู่รายรอบตัวของพวกมึง ทั้งๆที่ลมหายใจอันลึกและยาวคลอเคลื่อนอยู่ในครรลองชีวิตของพวกมึง
พวกมึงกลับคว้าจับได้เพียงน้ำเหลว
ปล่อยให้ปวงสัจธรรมเล็ดลอดหว่างนิ้วไปเสียสิ้น
และบ่อยครั้งที่กูได้เข้าไปในความหลับฝันของพวกมึง (อาณาจักรของความฝันที่หดแคบลงทุกขณะ) แต่พวกมึงกลับมองเห็นกูเป็นเพียงสัตว์นำโชคตัวหนึ่งเท่านั้น
สัตว์นำโชคที่จะนำพาลาภยศสรรเสริญมาสู่ชีวิตในภายภาคหน้าของพวกมึง
พวกมึงที่ไม่ยอมออกมาจากถ้ำมืด แม้ว่าจะก้าวมาสู่ยุคสมัยของเทคโนโลยีแล้วก็ตาม
ปล่อยให้กูฝันร้ายดายเดียวอยู่ในความหลับฝันของพวกมึง
พวกมึงช่างใจดำ
กูไม่อยากสาปแช่งซ้ำอีก
แต่กูจะใจเย็นเฝ้าดูพวกมึงค้นหาหัวใจไปเรื่อยๆ เฝ้าดูไปจนกว่าหัวใจของกูจะพูดว่า-
“เอาละ พอแล้ว เหล่ามนุษยชาติทั้งหลาย”

หัวใจของกูได้หยั่งรากลึกลงไปราวไม่สิ้นสุด ราวกัปกัลป์พุทธันดร
ผ่านเทือกภูไกลโพ้น ที่ราบสูง ที่ราบลุ่ม สู่ห้วงมหาสมุทร
พวกมึงเคยเฝ้ามองดูดอกไม้กันบ้างไหม?
ดอกไม้ที่ประกอบขึ้นด้วยดิน น้ำ ลม ไฟ รวมทั้งความฝันใฝ่ของเหล่าภู่ผึ้งและผีเสื้อ
ความฝันใฝ่ที่มีท่วงทำนองดุจดังบทกวี
บทกวีที่ขับขานถึงอรุณรุ่ง มวลดอกไม้ และดิน น้ำ ลม ไฟ
ดิน น้ำ ลม ไฟ ที่เฝ้าบ่มเพาะบทกวี
กวีผู้เฝ้าคิดฝันอยู่ริมฝั่งน้ำ และกวีผู้ท่องเรือมาตามลำน้ำ
บทกวีที่ทำให้กูนิทรารมณ์
ราวกับได้หลับใหลอยู่ในครรภ์ของแม่โลก ท่ามกลางบทเพลงกล่อมหวานเศร้า และหมื่นแสนปีกนกสีดำ
ก่อนจะแว่วยินเสียงของเด็กน้อยดังขึ้นในความหลับฝัน
“แม่จ๋า นี่เมล็ดดอกอะไรกันจ๊ะ ขอหนูปลูกบ้างได้ไหม”
กูร่ำไห้ออกมา
พวกมึงได้ยินเสียงมันไหม?
ทรวงอกที่สะทกสะท้อนของกู กลายเป็นคลื่นขบวนหนึ่ง ก่อนจะเข้ากระทบชายฝั่ง และได้นำพาดอกไม้สีเหลืองดอกเล็กๆขึ้นซบหาดทรายหมาดชื้น
กูปรารถนาอยากได้ยินเสียงเล็กๆนั้นอีก
เสียงเล็กๆ

เสียงเล็กๆที่สาบสูญ
สาบสูญไปเช่นเดียวกับเผ่าพันธุ์เล็กๆ กลุ่มชนเล็กๆ พืชพรรณพื้นเมืองต่างๆ สัตว์บกสัตว์น้ำต่างๆ
สาบสูญไปเช่นเดียวกับคัมภีร์มีค่าต่างๆ รากเหง้าเก่าแก่ต่างๆ
บางค่ำคืนกูหลับฝันถึงทะเลทราย
เสียงกระแสลมร้องร่ำคร่ำครวญกรีดบาดหัวใจ
หัวใจของพวกมึงพลัดพรายไปหนแห่งใดกัน ตื่นขึ้นเถิด มนุษย์เอย
เร่งออกติดตามค้นหาขุมทรัพย์ล้ำค่านั้นเถิด
ก่อนที่มันจะสาบสูญไปชั่วนิจนิรันดร์
ความฝันที่ทำให้กูโศกาอาดูร
กูอยากฝันถึงห้วงหาวและดาวเดือนไกลโพ้นต่างหากเล่า ไม่ใช่ดวงตาที่แล้งไร้ชีวิตเหล่านั้นสักหน่อย
แต่กูยังคงเปี่ยมด้วยความหวังอยู่เสมอ
ในทุกๆรุ่งอรุณอันสดกระจ่าง
กูลอบติดตามบางมนุษย์เข้าไปในสวนเล็กๆของเขา ในทุ่งนาน้อยๆของเธอ และกูได้เฝ้ามองดูเขาและเธอต่างพากันโอบกอดพืชพรรณอย่างทะนุถนอมรักใคร่
ปวงพืชพรรณที่แข็งแกร่งและอดทนอย่างที่สุด
ด้วยพวกมันต่างก็รักใคร่ในมนุษย์พวกนั้น
ดูสิ พวกมันต่างก็กำลังโอบกอดมนุษย์ที่แข็งแกร่งและอดทนอย่างที่สุดไว้ดุจเดียวกัน
มนุษย์ตัวเล็กๆแห่งอุษาคเนย์
และมนุษย์ตัวเล็กๆยิ่งกว่าที่พากันวิ่งตามพวกเขาออกไป เนื้อตัวแทบจะเปลือยเปล่าเสียด้วยซ้ำ
ต่างก็พากันหัวเราะเริงใจ
เป็นหนึ่งเดียวกับดินน้ำลมไฟรายรอบตัว
และจังหวะที่แม่หนูน้อยได้ก้มลงเก็บใบไม้เล็กๆรูปหัวใจสีแดงขึ้นทาบทับทรวงอกเปลือยเปล่าข้างซ้ายของเธอ พลางยิ้มกว้างจนแลเห็นฟันหลอ
จังหวะนั้นกูก็บอกกับตนเองได้ทันที ว่ากูจะยังไม่ไปไหน

“อนาคตอันเก่าแก่”
ใช่ กูเรียกขานมันเช่นนั้น
ท่ามกลางสองฟากฝั่งที่แตกต่างหลากหลาย ทั้งโอบเอื้ออารี ทั้งทารุณโหดร้าย
กูได้นำพาหัวใจสีแดงดวงน้อยนั้นไปด้วย
สัตว์ดึกดำบรรพ์กับหัวใจสีแดงดวงน้อย
เหนือกว่าแก้วมณีมีค่าทั้งหมดทั้งมวล
เช่นเดียวกับมือน้อยๆที่ได้ปลูกฝังเมล็ดดอกไม้ลงไปในผืนแผ่นดิน
เหล่ามนุษย์เล็กๆที่ได้นำพารุ่งอรุณอันเก่าแก่มาสู่หัวใจของกู
ทำให้เรือนกายกูสั่นสะท้านด้วยความปีติยินดี
และพลอยทำให้เรือของพวกชาวประมงโยกโยนอยู่เหนือยอดคลื่นอย่างฉงนฉงาย
ลำตัวและเกล็ดผิวของกูหยอกล้อกับพื้นผิวของท้องเรือเหล่านั้น พลันกูได้ยินน้ำเสียงหวาดตื่นดังขึ้น
“เหมือนมีตัวอะไรมาหนุนท้องเรือเลยว่ะ พวกมึงรู้สึกเหมือนกูมั้ย”
“ใช่ กูก็รู้สึกเหมือนมึงนั่นแหละ”
เปล่า ไม่ใช่พวกมึงหรอกที่ตอบคำ เพราะพวกมึงต่างก็ซีดเซียวและเบื้อใบ้ แต่เป็นกูต่างหาก
แต่ถึงอย่างนั้น พวกมึงก็ยังไม่ได้ยินเสียงของกูอยู่ดี
แม้ว่ากูจะบิดกายคลายเส้นอยู่ห่างจากพวกมึงไม่ถึงศอกถึงวาก็ตาม
กูผู้เฝ้าเคล้าคลอไปกับชีวิตของพวกมึงตลอดเวลา ตั้งแต่เกิดยันตาย
กูผู้ได้ยินแม้กระทั่งเสียงเพรียกหาในยามหลับละเมอของพวกมึง พวกมึงผู้เจ็บไข้-ใกล้ตาย เสียงเพรียกนั้น-
“น้ำ ขอน้ำให้ลูกเถิดแม่จ๋า...”

อย่าฝันถึงกู หากพวกมึงไม่มีความใฝ่ฝันแสนงาม
พวกมึงเคยเฝ้ามองดูแม่น้ำกันบ้างไหม?
แม่น้ำข้างนอก แม่น้ำข้างใน
กูอยู่ข้างนอก กูอยู่ข้างใน
กูปรารถนาเป็นหนึ่งเดียวเสมอ หากว่ามือของพวกมึงไม่ยื่นเข้ามายุ่มย่ามบงการเอาตามอำเภอน้ำใจ
มือของพวกมึงที่ปรารถนาอย่างแรงกล้า ที่จะตักตวง ที่จะครอบครอง
ที่จะแปรเปลี่ยนวิถีทางของกู ที่จะกักกั้นกุมขังกู
กูอยากให้พวกมึงเฝ้ามองดูแม่น้ำ เหมือนเช่นที่ศาสดาของพวกมึงเฝ้ามอง
เพราะว่าเมื่อไม่มีสิ่งนั้น ก็จะไม่มีสิ่งนี้
ไม่มีเหล่ามนุษย์ผู้ถูกสาปให้ต้องค้นหาหัวใจของตนเอง
เมื่อพวกมึงเฝ้ามองอย่างบริสุทธิ์ลึกซึ้ง
เมื่อนั้นพวกมึงก็จะเปลือยเปล่า
เปล่า- กูไม่ได้กล่าวหาว่าพวกมึงเปล่ากลวงเสียหน่อย
แต่พวกมึงจะเปลือยเปล่าและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับธรรมชาติต่างหาก
พวกมึงไม่เคยผ่านการเป็นเด็กมาก่อนหรอกรึ
เหล่าเด็กๆหลายผู้หลายนามที่เคยขี่หลังกูเล่น-เริงใจ
ต่างก็ขี่และควบกูให้เลื้อยไหลไปไม่หยุดหย่อน
ท่ามกลางเสียงกู่ร้องโหวกเหวก เสียงหัวเราะสดใสก้องกังวาน
ขณะกูสะบัดเนื้อตัวจนกระเพื่อม-กระเซ็น

กระต่ายในดวงจันทร์สะท้อนอยู่ในดวงตากู
เนื้อตัวเปลือยเปล่าของกูกลายเป็นสีแสงจันทร์
เกล็ดของกูวับวาวท่ามกลางสองฟากฝั่งแห่งแสงไฟ
พวกมึงพากันกล่าวขานว่ากูเป็นสัตว์ลึกลับ เพียงเพราะว่าพวกมึงมองไม่เห็นกู
พวกมึงผู้ไม่มีกระต่ายในดวงจันทร์อยู่ในดวงตา
พวกมึงผู้กำลังหันหลังให้กู
ทั้งๆที่มีกูดำรงอยู่ในชีวิต
ดุจเดียวกับการที่พวกมึงพากันปล่อยปละละเลยหัวใจ
กระทั่งมันได้หายสูญไป
และในค่ำคืนแสนงามเช่นนี้
กูได้ล่องลอยดวงไฟของความคิดฝันขึ้นสู่ท้องฟ้า ดวงแล้วดวงเล่า
เพื่อรำลึกถึงปวงปราชญ์และเหล่าศาสดาที่เคยได้จำนรรจากับกู
เพื่อรำลึกถึงโคตรเหง้าเหล่ากอของกู พ่อแม่พี่น้องและญาติมิตรของกู
ทั้งโพ้นเทือกภู ที่ราบสูง ที่ราบลุ่ม และบึงบางกลางท้องทุ่งนา
ในบางค่ำคืนแสนงามเหล่านั้น
กูเคยได้ยินเสียงเล็กๆแว่วมาจากเหล่าเรือนบ้านที่ห่อตัวอยู่ในรั้วกำแพง
“แม่จ๋า หนูเห็นดวงไฟอะไรก็ไม่รู้ ลอยขึ้นจากแม่น้ำ สวยจังค่ะ”
“เหลวไหลน่าลูก ไป-เข้านอนได้แล้ว เดี๋ยวพรุ่งนี้ลูกต้องตื่นไปโรงเรียนแต่เช้ามืด”
“ไป-โรง-เรียน-แต่-เช้า-มืด?”
กูพึมพำเหมือนคร่ำครวญ

กูจะเล่าเรื่องมนุษย์เล็กๆผู้หนึ่งให้พวกมึงได้ฟัง
มนุษย์เล็กๆผู้ปฏิเสธโรงเรียน
โรงเรียนที่ห่อตัวอยู่ในรั้วกำแพง
เด็กชายผู้ตามใจพ่อแม่ด้วยการแต่งชุดเสื้อผ้าเครื่องแบบ แล้วเดินชักแถวไปสู่โรงเรียนเหมือนเช่นเด็กคนอื่นๆ
เด็กชายผู้เฝ้าฝันถึงแต่แม่น้ำอยู่ทุกขณะจิต
แล้วให้หลังเพียงสองปี เขาก็หันหลังให้กับรั้วโรงเรียน
เด็กชายผู้พร่ำบอกกับพ่อแม่ของเขาว่า-หากพญานาคยังคงมีอยู่ในแม่น้ำ เขาก็จะไม่อดตายอย่างแน่แท้
เด็กชายผู้ถือกำเนิดที่ริมฝั่งแม่น้ำ ในครอบครัวเล็กๆของชาวประมง
จึงวางดินสอและตำราเรียนลง
ก่อนก้าวเข้าสู่โรงเรียนแห่งดินน้ำลมไฟอย่างเต็มตัวและหัวใจ
เด็กชายผู้เฝ้ามองท้องฟ้าและก้อนเมฆ พลางได้ยินเสียงกระซิบของเหล่าผู้เฒ่า ว่าเมฆลักษณะแบบนั้นรูปร่างแบบนี้มันหมายความว่าอะไร
มันหมายความว่าเมื่อเจ้าเห็นเมฆแบบนั้น เจ้าจงออกเรือไปเถิด แต่อย่าโลภมากบรรทุกเหล่าปลามาเสียจนเรือจมลงกลางน้ำล่ะ
มันหมายความว่าเมื่อเจ้าเห็นเมฆแบบนี้ เจ้าจงเดินขึ้นโคกขึ้นดงไปเถิด เพื่ออาหารมื้อหน้าจะมีเห็ดมากมายให้เจ้าอิ่มอร่อย
มันหมายความว่าเมื่อเจ้าเห็นเมฆแบบโน้น เจ้าจงเตรียมคราดไถแปลงนาไว้ได้แล้ว เพื่อเจ้าจะได้หว่านข้าวกล้าในนาน้ำฝน
เด็กชายผู้เฝ้ามองท้องน้ำ พลางได้ยินเสียงกระซิบของเหล่าผู้เฒ่า ว่าวงคลื่นน้ำลักษณะนี้หรือแบบนั้นมันหมายความว่าอย่างไร
วงคลื่นน้ำลักษณะต่างๆที่สามารถบ่งบอกถึงปลาชนิดต่างๆ
ลักษณะของการโบกครีบหลัง ครีบข้าง และหาง
ลีลาการผุดของฟองอากาศลมหายใจ
ที่เหล่าผีผู้เฒ่าสามารถมองทะลุพื้นผิวน้ำลงไปอย่างปรุโปร่ง แล้วทำนายได้อย่างแม่นยำว่าฝูงปลาที่กำลังว่ายผ่านไป ชื่อว่าปลาอะไร
ปลาอะไร มีอุปนิสัยอย่างไร ชอบกินเหยื่อแบบไหน
เหล่าโรงเรียนในรั้วสามารถบอกได้ไหม?
ผิวเกรียมแดดและเส้นผมสีแดงกร้านของเขาสะท้อนอยู่ในดวงตาของกู
ท่วงท่าสงบนิ่งและมั่นคงในเรือลำน้อยของเด็กชายผู้นั้น 
เป็นหนึ่งเดียวกับกู

เด็กชายผู้ที่เป็นหนึ่งเดียวกับกู
เติบโตขึ้นท่ามกลางแสงแดด สายลม และห่าฝน
ราวกับไม้ที่มีรากแก้วต้นหนึ่ง
เขาได้หยั่งรากของชีวิตและความคิดฝันลงไปในโลกอันดึกดำบรรพ์
เขาเดินสวนทางกับเหล่าเพื่อนและยุคสมัย พร้อมกับรอยยิ้มอันแสนบริสุทธิ์ใจ
เขาผู้ที่เนื้อตัวและเสื้อผ้าอวลร่ำอยู่ด้วยกลิ่นโคลนดิน กลิ่นแดด กลิ่นน้ำ และกลิ่นเมือกคาวปลา
และในฤดูแล้งที่สายน้ำได้ขอดแห้งตามธรรมชาติ
เขาคนเดียวกันนี้ที่ได้ยกร่องและขุดพรวนพื้นที่ชายฝั่งและสันดอนดินกลางแม่น้ำ ให้กลายเป็นแปลงสำหรับปลูกพืชผัก
โรงเรียนชีวิตและโลกของเขามีเพียงแม่น้ำสายเดียวเท่านั้น
ใช่แล้ว แม่น้ำเดียวกัน
เขาไม่ต้องการอะไรหรือสิ่งใดมากไปกว่านี้อีกแล้ว
เขาเพียงจุดธูปเทียนแล้วลอยกระทงดอกไม้สด พร้อมกล่าวขอขมาต่อแม่ดินแม่น้ำแม่ลมแม่ไฟและกู ก่อนจะพาเรือและอุปกรณ์ต่างๆออกไปหาจับปลา
ภายใต้โค้งฟ้าครามและเมฆขาวเมฆเงิน
เมฆสีขาวสีเงินดุจเดียวกับเกล็ดวาววับของฝูงปลาที่พากันสะท้อนขึ้นเหนือผิวน้ำและแววแดด
ปู่ย่าตายายและพ่อแม่ของเขาเกิดขึ้นมาที่ริมฝั่งแม่น้ำสายนี้ และตายจากไปที่ริมฝั่งแม่น้ำสายเดียวกันนี้
เถ้าอังคารของพวกเขาเหล่านั้นและดอกไม้สีขาวได้ล่องไหลไปกับสายน้ำไม่หวนคืน-สายนี้
แต่ผีของพวกเขายังคงอยู่ ผีผู้เฝ้าจำนรรจากับเขาอยู่ไม่รู้จบสิ้น
คำจำนรรจ์ที่เกี่ยวร้อยอยู่กับฤดูกาลดินน้ำฟ้าอากาศ
เสียงเพลงเพรียกแห่งฝูงมัจฉา
ทุ่งข้าว บ่อเกลือ และป่าบุ่งป่าทาม
เขาผู้ได้ยินเสียงของกู?
เขาผู้เชื่อมั่นว่ากูยังดำรงอยู่
ด้วยหัวใจโบราณกาลดุจเดียวกัน
เขาผู้เชื่อมั่นว่าถ้ากูตาย เขาก็จะตาย และโลกนี้ก็จะดับสูญ
นี้คือหัวใจสีทองของมนุษย์เล็กๆแห่งอุษาคเนย์
บัดซบเถิด กูไม่อยากตายจากโลกนี้ไปเลย

หรือไม่ก็ให้กูตายจากไปเสียแต่เดี๋ยวนี้ มนุษย์เอย
เขาในวัยหนุ่มฉกรรจ์ได้สร้างครอบครัวขึ้นที่ริมฝั่งแม่น้ำสายเดิม
กับหญิงสาวที่รักในวิถีชีวิตแห่งแม่น้ำดุจเดียวกัน
และลูกน้อยทั้งสองของเขาต่างก็หันหลังให้กับโรงเรียนที่อยู่ในรั้ว
เขาหัวเราะอย่างเห็นขันเมื่อนึกถึงตนเองในวัยเยาว์
เมื่อลูกๆของเขาต่างกล่าวออกมาในทำนองเดียวกันว่า หากพญานาคยังคงอยู่ พวกเขาก็จะไม่อดตายอย่างแน่แท้
อา- อนาคตอันเก่าแก่
ดินน้ำลมไฟเป็นสักขีพยานด้วยเถิด
เมื่อวันหนึ่งแม่น้ำโบราณสายนี้ต้องแปรปรวนอย่างผิดธรรมดา
ด้วยการขึ้นและลงของระดับน้ำที่ผิดแผกฤดูกาล
ด้วยสีของน้ำที่เข้มข้นขุ่นคลั่ก
สายน้ำที่เหือดแห้งอย่างยาวนาน
สายน้ำที่ท่วมจมหมู่บ้านริมฝั่ง
เหล่าปลาหลายชนิดที่สาบสูญ
หลากหลายชุมชนริมสองฝั่งแม่น้ำกลายเป็นหมู่บ้านร้าง ลำเรือต่างเกยแห้ง
ว่ากันว่าประเทศบ้านเมืองใหญ่โตที่อยู่ต้นน้ำโพ้นได้ก่อสร้างเขื่อนกักเก็บน้ำขึ้นจำนวนมาก
เขื่อนกั้นแม่น้ำ
พวกมึงกำลังกุมขังกู มนุษย์เอย
พวกมึงกำลังฆ่าเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน และสิ่งมีชีวิตอื่นๆ
พวกมึงกำลังทดสอบความรักและความศรัทธาของมนุษย์เล็กๆที่อยู่ในดวงตาของกู
หากว่าพญานาคยังคงอยู่ พวกเขาก็จะไม่อดตายอย่างแน่แท้
อา- หากว่าพญานาคยังคงอยู่

เมื่อไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ริมแม่น้ำที่สาบสูญ
พวกเขาได้พากันอพยพเข้าไปในผืนแผ่นดินที่แล้งไร้
เงินทองที่เก็บสะสมไว้จำนวนหนึ่งจึงได้แปรเปลี่ยนเป็นบ้านหลังน้อย เป็นแปลงนาเล็กๆเป็นโคหนึ่งคู่ เป็นไก่หนึ่งฝูง
กูเฝ้ามองดูพวกเขาด้วยหัวใจสะทกสะเทือน
กูจะทำอะไรเพื่อพวกเขาได้บ้าง
ชายผู้นำพาลูกเมียใช้จอบเสียมขุดก่นลงไปในเนื้อดินแห้งกระด้าง จอบแล้วจอบเล่า วันแล้ววันเล่า และคืนแล้วคืนเล่า
เพื่อจะได้หยอดเมล็ดข้าวลงไปในหลุมดินเหล่านั้น หลุมแล้วหลุมเล่า
หลังจากที่เขาได้เฝ้าสังเกตดูลักษณะของก้อนเมฆในท้องฟ้า
ขณะกูกู่ร้อง ตกลงมาเถิด ตกลงมา
ครั้นเมื่อฝนแรกหลั่งร่วง
ภาพของสี่คนพ่อแม่ลูกที่กำลังเริงร้องร่ายรำอยู่กลางสายฝน
ทำให้กูร่ำไห้ด้วยสะเทือนใจ
และด้วยหัวใจโบราณดวงนั้น
ในทุกค่ำคืนที่ดวงจันทร์กระจ่างฟ้า
กูจึงได้มองเห็นผู้เป็นพ่อเดินแบกจอบแบกพลั่วนำพาลูกเมียออกไปยังกลางแปลงนา
ก่อนจะช่วยกันขุดจอบแทงพลั่วลงไปในเนื้อดินแตกระแหง
เสียงสะท้อนสะท้านใจ
สลับขับกล่อมด้วยเสียงเพลงจากผู้เป็นพ่อและแม่
บทเพลงของคนยากไร้ในผืนดินแห่งสุวรรณภูมิ
กระต่ายในดวงจันทร์ก็ยังไม่อาจกลั้นน้ำตา
พวกเขากำลังลงมือขุดสระด้วยแรงกายแรงใจมหาศาล คืนแล้วคืนเล่า
ยามหลับนอนพวกเขาต้องยกสองแขนสองมือประสานกันไว้เหนือหัว เพื่อบรรเทาอาการปวดเมื่อยที่เฝ้ารุมเร้า สองฝ่ามือที่แตกช้ำระบม
ผ่านไปเนิ่นนานวัน
เมื่อได้ความกว้างความลึกของสระที่ต้องการแล้ว
พวกเขาทั้งสี่จึงช่วยกันเหยียบย่ำหน้าดินในสระให้แน่นเต็ม ทั้งเกณฑ์แรงโคมาช่วยอีกสองแรง
และไม่นานจากนั้น สระของพวกเขาก็สามารถเก็บกักน้ำฝนไว้ใช้ได้ตลอดฤดูแล้ง
และยังมีกุ้งหอยปูปลาให้ได้จับกินตลอดทั้งปี
ด้วยหัวใจโบราณและอนาคตอันเก่าแก่เท่านั้น มนุษย์เอย

กูอยู่ที่นี่ ในหัวใจโบราณ มนุษย์เอย
กูเฝ้ามองดูมนุษย์เล็กๆผู้แข็งแกร่งและอดทน
มนุษย์ผู้ยืนหยัดและยืนยันที่จะมีชีวิตอยู่ท่ามกลางดินน้ำลมไฟ
ด้วยไม่ต้องการอพยพเข้าสู่เมืองและนิคมแห่งอุตสาหกรรมเหมือนเช่นผองเพื่อนบ้าน
พวกเขาพากันปลูกต้นไม้ต่างๆรายรอบผืนนา
พวกเขาเรียนรู้ที่จะอยู่กับผืนแผ่นดิน เฉกเช่นการเรียนรู้ที่จะอยู่กับแม่น้ำในครั้งเก่าก่อน
พวกเขามีข้าวเปลือกเหลือเก็บไว้ในยุ้งฉาง
มีผักต่างๆ ลูกไม้ต่างๆ 
มีไข่ไก่และไข่เป็ด
มีกุ้งหอยปูปลา
มีพืชสมุนไพร
พวกเขาไม่อาจลืมเลือนแม่น้ำสายนั้น
แม่น้ำที่พวกเขาเกิดและเติบโตอยู่ที่นั่น
แม่น้ำที่พวกเขากราบไหว้บูชา และศรัทธาเชื่อมั่นว่ากูยังคงดำรงอยู่
ไม่มีใครกุมขังกูได้หรอก มนุษย์เอย
วันนี้ชายวัยกลางคนและเมียของเขายังเฝ้าฝันถึงวัยเยาว์ของพวกตน
วัยเยาว์ที่ได้เฝ้าดูดวงไฟพญานาคกับพ่อแม่พี่น้อง ที่ริมฝั่งน้ำแห่งนั้น ปีแล้วปีเล่า
ดวงไฟพญานาคดวงแล้วดวงเล่าที่ผุดพ้นขึ้นจากผืนน้ำ ในค่ำคืนสิบห้าค่ำของเดือนสิบเอ็ด
ดวงไฟที่ทำให้เขาเชื่อมั่นในวิถีชีวิตที่ได้เลือกแล้ว
วิถีชีวิตที่เป็นหนึ่งเดียวกับดินน้ำลมไฟ
และสัตว์ดึกดำบรรพ์ตัวหนึ่ง
โดยไม่ต้องตามแห่ไปพิสูจน์ร่องรอยของกู? ที่ตกเป็นข่าวอยู่เนืองๆว่าไปปรากฏขึ้นที่บ้านโน้นเมืองนั้น
แต่ด้วยวัตรปฏิบัติ และแรงกายแรงใจที่แข็งขันและมั่นคงเท่านั้น
และกูมั่นใจได้ว่าพวกเขาเป็นมนุษย์ที่หลุดพ้นจากคำสาปนั้นแล้ว
คำสาป และหัวใจที่สาบสูญ
และในค่ำคืนนี้
ค่ำคืนสิบห้าค่ำของเดือนสิบเอ็ด
เขาได้พาครอบครัวไปนั่งเฝ้ารอคอยบางสิ่งบางอย่างอยู่ที่ริมสระน้ำกลางผืนนา
สระน้ำที่พวกเขาได้เนรมิตมันขึ้นมากับมือ
แม้ว่าแม่น้ำสายนั้นได้สาบสูญไปแล้ว
แต่หัวใจโบราณยังคงอยู่ในพวกเขา
และแล้ว-
เสียงลูกสาวตัวน้อยของเขาแจ่มกระจ่างดุจเดียวกับแสงจันทร์ที่อาบค่ำคืนนี้ไว้
“พ่อจ๋า แม่จ๋า ดูนั่นสิ ดูนั่น”
ขณะที่ดวงไฟความใฝ่ฝันของกูค่อยๆผุดพ้นขึ้นเหนือพื้นผิวน้ำของสระเล็กๆ
ทีละดวง ทีละดวง...

 

 


#feedDD #MASS

 

ติดตามเรื่องราวดีๆ อัพเดท สื่อเป็นโรงเรียนของสังคม ที่แฟนเพจ สื่อเป็นโรงเรียนของสังคม ที่นี่



โครงการสื่อเป็นโรงเรียนของสังคม (Media As Social School)

128/177 ชั้น 16 อาคารพญาไทพลาซ่า ถนนพญาไท แขวงทุ่งพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร 10400
128/177 Phayatai Plaza,  16th Fl., Phayathai Rd., Rajthevee, Bangkok 10400 Thailand

โทรศัพท์ : 02-298-0987-8 โทรสาร : 02-298-0989
อีเมล : [email protected]